ธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรปเร่งออกเหรียญ Stablecoin สะท้อนการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและความต้องการตลาด

ธนาคารในสหรัฐอเมริกาและยุโรปกำลังเร่งดำเนินการเพื่อออกเหรียญสเตเบิลคอยน์ ตอบสนองต่อการชัดเจนทางกฎระเบียบที่พัฒนาขึ้นและความต้องการในตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การประกาศกฎข้อบังคับ “Markets in Crypto-Assets Regulation” (MiCA) ของสหภาพยุโรป และความสนใจที่สูงขึ้นในโซลูชันการชำระเงินที่อิงจากเทคโนโลยีบล็อกเชน ส่งผลให้สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมต้องแข่งขันกับบริษัทสเตเบิลคอยน์ที่มีชื่อเสียง เช่น Tether Holdings

ในยุโรป มีธนาคารหลายแห่งได้เริ่มพัฒนาสเตเบิลคอยน์ของตนเอง เพื่อดึงดูดส่วนแบ่งการตลาดที่อาจสร้างผลกำไรมหาศาล โดยธนาคาร Societe Generale – Forge ที่ตั้งในฝรั่งเศส เพิ่งเปิดตัวเหรียญสเตเบิลที่มีค่าเงินยูโรสำหรับนักลงทุนรายย่อย ในทำนองเดียวกัน ธนาคาร Oddo BHF SCA ที่ตั้งในแฟรงค์เฟิร์ต และ Revolut ที่ตั้งในลอนดอนก็มีแผนที่จะเปิดตัวสเตเบิลคอยน์ยูโร ขณะที่ AllUnity ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก DWS หน่วยงานด้านการจัดการสินทรัพย์ของ Deutsche Bank ตั้งใจที่จะเปิดตัวเหรียญสเตเบิลที่สอดคล้องกับค่าเงินยูโรในปี 2025

Jean-Marc Stenger ซีอีโอของ SG-Forge กล่าวว่าธนาคารจะนำสเตเบิลคอยน์ที่ออกโดยธนาคารมาใช้มากขึ้นๆ โดยเขาได้กล่าวเพียงว่า “ใช่” นอกจากนี้ SG-Forge กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับธนาคารประมาณสิบแห่ง เพื่อหาความร่วมมือหรือการใช้งานเทคโนโลยีการออกเหรียญสเตเบิลของ SG-Forge

ในขณะเดียวกัน Visa Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีการชำระเงินระดับโลก ก็มีการพัฒนาร่วมกับธนาคารต่างๆ เช่น BBVA เพื่อสร้างโซลูชันสเตเบิลคอยน์โดยใช้บล็อกเชน Cuy Sheffield หัวหน้าฝ่ายคริปโตที่ Visa กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันต่างๆ ในฮ่องกง สิงคโปร์ และบราซิล

ในสหรัฐอเมริกา ธนาคารต่างๆ ยังกำลังรอการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่อาจทำให้พวกเขาสามารถเสนอเหรียญสเตเบิลได้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารอย่าง JPMorgan Chase ได้เริ่มทดสอบระบบการชำระเงินที่พัฒนาบนบล็อกเชนแล้ว แม้ว่า JPMorgan จะใช้โทเค็นการฝากเงินชื่อ JPM Coin สำหรับการโอนภายใน แต่ยังคงไม่มีการเชื่อมต่อแบบเปิดเช่นที่สเตเบิลคอยน์ทั่วไปมี

Naveen Mallela รองหัวหน้าสาขาสินทรัพย์ดิจิทัลของ JPMorgan กล่าวว่าธนาคารจะมีการยอมรับในตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงสามปีข้างหน้า เขายังเสริมว่าสเตเบิลคอยน์และการฝากเงินที่มีการออกเป็นโทเค็นสามารถทำงานร่วมกันเป็นวิธีการชำระเงินที่แตกต่างได้

อย่างไรก็ตาม ธนาคารในสหรัฐอเมริกายังเผชิญกับปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการขาดความชัดเจนเกี่ยวกับประเภทของเงินสำรองที่สามารถใช้ในการสนับสนุนเหรียญสเตเบิล และความเป็นไปได้ที่เงินฝากจะได้รับการประกันจากรัฐบาลกลาง ปัญหานี้ถือว่าสำคัญ เนื่องจากอาจสร้างความสับสนในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตทางการเงิน

การกำกับดูแล MiCA ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับผู้ที่ออกเหรียญสเตเบิลในยุโรป ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2024 โดย MiCA จะประกันว่าผู้ให้บริการเหรียญสเตเบิลมีใบอนุญาตที่เหมาะสมในการให้บริการในสหภาพยุโรป และยังได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการเงินสำรองและการคุ้มครองนักลงทุน

เหรียญสเตเบิล USDC ของ Circle ได้รับการอนุมัติภายใต้ MiCA และสามารถนำไปใช้ในภูมิภาคได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม Tether Holdings ผู้เป็นผู้นำตลาดยังไม่ได้แถลงการณ์ถึงแผนการได้รับใบอนุญาตสำหรับเหรียญสเตเบิลที่มีค่าเงินยูโร นักวิเคราะห์ได้กล่าวว่านี่อาจเปิดโอกาสให้ธนาคารรวมทั้งคู่แข่ง ได้เข้ามาในตลาดนี้

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรปได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเหรียญสเตเบิลต่อระบบธนาคารแบบดั้งเดิม โดยการศึกษาล่าสุดของ ECB พบว่าการแปลงเงินฝากค้าปลีกไปเป็นเหรียญสเตเบิลอาจทำให้เกิดการลดลงในอัตราส่วนการทำงานรายได้ของธนาคาร

ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์กำลังดำเนินการออกเหรียญสเตเบิล ธนาคารกลางก็มีการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDCs) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล อาจเข้ามาแข่งขัน หรือแทนที่เหรียญสเตเบิลที่ออกโดยธนาคารในระบบการชำระเงินขนาดใหญ่ได้

Avtar Sehra ซีอีโอของ Libre Capital กล่าวว่าสถาบันการเงินทุกแห่งกำลังสำรวจรูปแบบของเงินดิจิทัลของธนาคารพาณิชย์ แต่หลายแห่งอาจเลือกที่สร้างเหรียญร่วมหลายเหรียญ โดยมีการรายงานว่าธนาคารต่างๆ กำลังพิจารณาการจัดตั้งพันธมิตรเพื่อสร้างโทเค็นที่ใช้บล็อกเชนร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเชื่อมโยงกัน

ในช่วงเวลาเดียวกัน เหรียญสเตเบิล RLUSD ของ Ripple ซึ่งได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2024 ได้สร้างความนิยมในตลาดคริปโตโลกอย่างรวดเร็ว โดย RLUSD ยังได้รับการจดทะเบียนใน Independent Reserve ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายด้านการค้าคริปโตที่ได้รับการอนุญาตในสิงคโปร์